ทำไมคนถึงโกหก? มุมมองจากจิตวิทยา
การโกหกเป็นพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไปในสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการโกหกเล็กน้อยเพื่อรักษาน้ำใจ หรือการโกหกที่มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตของผู้คน ทำไมเราถึงโกหก? คำถามนี้ได้รับความสนใจจากนักจิตวิทยามาอย่างยาวนาน และมีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมนี้ การโกหกไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความไม่ซื่อสัตย์ แต่ยังมีปัจจัยด้านจิตวิทยา สังคม และชีววิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เหตุผลหลักที่คนโกหก
- การปกป้องตัวเอง
- คนโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบ เช่น การถูกลงโทษ ความอับอาย หรือการถูกปฏิเสธ
- ตัวอย่างเช่น เด็กอาจโกหกเรื่องการบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิจากครูหรือผู้ปกครอง ผู้ใหญ่เองก็อาจโกหกในที่ทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกตำหนิหรือถูกไล่ออก
- ในบางกรณี การโกหกเพื่อปกป้องตนเองอาจเกิดขึ้นจากกลไกทางจิตใจ เช่น ความกลัว การป้องกันตนเองจากความเครียด หรือการปกป้องภาพลักษณ์ของตนเองต่อสังคม
- การรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม
- บางครั้งการโกหกช่วยให้ความสัมพันธ์ราบรื่นขึ้น เช่น การโกหกเพื่อให้ผู้อื่นรู้สึกดี หรือเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
- เช่น การบอกว่า “อาหารอร่อยมาก” แม้ว่าจะไม่ชอบรสชาติของมันจริง ๆ การโกหกแบบนี้อาจช่วยรักษามิตรภาพหรือความสัมพันธ์ในครอบครัว
- การโกหกในรูปแบบนี้สามารถพบได้ในวัฒนธรรมที่เน้นเรื่องความสุภาพและการรักษาหน้าของผู้อื่น เช่น ในบางสังคม การพูดตรงเกินไปอาจถือว่าเป็นการเสียมารยาท
- การได้มาซึ่งผลประโยชน์
- บางคนโกหกเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ เช่น การโกหกเพื่อให้ได้งาน ทำให้คนอื่นไว้ใจ หรือเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน
- ตัวอย่างเช่น ผู้สมัครงานอาจพูดเกินจริงเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานของตนเองเพื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้น หรือนักการเมืองอาจให้คำสัญญาที่ไม่สามารถทำได้เพื่อให้ได้รับคะแนนเสียง
- การโกหกเพื่อผลประโยชน์นี้พบได้ในทุกระดับของสังคม ตั้งแต่การซื้อขายสินค้าไปจนถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจและการเมือง
- การปกป้องผู้อื่น
- บางครั้งคนโกหกเพื่อช่วยเหลือหรือปกป้องบุคคลอื่นจากอันตรายหรือความทุกข์
- เช่น การโกหกเพื่อปกป้องเพื่อนจากปัญหาหรือเพื่อให้คนที่เรารักไม่ต้องกังวล การโกหกแบบนี้มักเกี่ยวข้องกับความเมตตาหรือความรู้สึกเห็นใจ
- อย่างไรก็ตาม การโกหกเพื่อปกป้องผู้อื่นอาจส่งผลเสียได้เช่นกัน หากทำให้เกิดการเข้าใจผิดหรือปกปิดความจริงที่สำคัญ
- แรงกดดันทางสังคมและวัฒนธรรม
- ในบางสังคม การโกหกอาจเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับในบางสถานการณ์ เช่น การพูดให้เกียรติ หรือการรักษามารยาท
- เช่น การตอบว่า “ไม่เป็นไร” แม้ว่าจะรู้สึกโกรธหรือเสียใจ หรือการกล่าวชมผู้อื่นเพื่อรักษาน้ำใจแม้จะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
- วัฒนธรรมบางแห่งอาจมีแนวโน้มให้ใช้ “การโกหกเพื่อสังคม” มากกว่าวัฒนธรรมอื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการให้คุณค่ากับความซื่อสัตย์และความสุภาพ
จิตวิทยาของการโกหก
- นักจิตวิทยาพบว่า การโกหกเป็นพฤติกรรมที่พัฒนาขึ้นตามอายุของมนุษย์ โดยเด็กเล็กอาจเริ่มโกหกเมื่ออายุประมาณ 2-3 ปี
- สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) มีบทบาทสำคัญในการโกหก เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของการวางแผน การควบคุมตนเอง และการตัดสินใจ
- การโกหกบ่อย ๆ อาจนำไปสู่การลดลงของความรู้สึกผิดและความละอาย ทำให้บางคนสามารถโกหกได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกผิด
- การศึกษาทางจิตวิทยาพบว่าการโกหกต้องใช้พลังงานทางปัญญามากกว่าการพูดความจริง เนื่องจากต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการจดจำเรื่องราวที่แต่งขึ้น
ผลกระทบของการโกหก
- แม้ว่าการโกหกบางประเภทอาจช่วยรักษาความสัมพันธ์หรือป้องกันผลกระทบเชิงลบ แต่การโกหกที่มากเกินไปอาจทำลายความไว้วางใจและความสัมพันธ์กับผู้อื่น
- การโกหกที่เกิดขึ้นเป็นประจำอาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล และความรู้สึกผิด
- สังคมที่เต็มไปด้วยการโกหกอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางสังคมและการขาดศีลธรรม
- ในแง่ของผลกระทบทางกฎหมาย การโกหกที่เกี่ยวข้องกับการให้การเท็จ การฉ้อโกง หรือการบิดเบือนความจริงสามารถนำไปสู่โทษทางกฎหมายและการสูญเสียความน่าเชื่อถือในสังคม
การโกหกเป็นพฤติกรรมที่มีรากฐานจากทั้งปัจจัยทางชีววิทยาและสังคม แม้ว่าจะมีบางสถานการณ์ที่การโกหกอาจเป็นประโยชน์ แต่การมีความซื่อสัตย์ยังคงเป็นคุณค่าที่สำคัญในการสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการโกหกช่วยให้เรารับมือกับพฤติกรรมนี้ได้ดีขึ้น และส่งเสริมการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาในสังคม การพิจารณาถึงผลกระทบของการโกหกอย่างรอบคอบสามารถช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าเมื่อใดที่ควรหรือไม่ควรโกหก เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดทั้งต่อตนเองและต่อสังคม