ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ทั้งในแง่ของขนาด สถาปัตยกรรม และความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องแผ่นดินจีนจากการรุกรานของศัตรู และเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความอดทนของชาวจีน ตลอดเวลากว่า 2,000 ปี กำแพงแห่งนี้ได้รับการสร้าง ต่อเติม และบูรณะหลายครั้ง จนกลายเป็นโครงสร้างที่มีความซับซ้อนและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
1. จุดกำเนิดของกำแพงเมืองจีน
1.1 กำแพงเมืองจีนในยุครัฐศึก (Warring States Period, 475-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ก่อนที่จีนจะรวมเป็นจักรวรรดิเดียวกัน แผ่นดินจีนแบ่งออกเป็นรัฐเล็ก ๆ หลายรัฐ แต่ละรัฐมีศัตรูภายนอกและภายในของตนเอง โดยเฉพาะรัฐที่อยู่ทางตอนเหนือ เช่น รัฐฉิน รัฐเจ้า และรัฐเยี่ยน ต่างสร้างกำแพงขึ้นเพื่อป้องกันตนเองจากการโจมตีของชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ เช่น ชาวซงหนู (Xiongnu)
กำแพงที่สร้างขึ้นในยุคนี้ยังเป็นเพียงกำแพงดินที่อัดแน่นและไม่ได้เชื่อมต่อกัน รัฐต่าง ๆ มีนโยบายป้องกันตนเองโดยอาศัยกำแพงเหล่านี้เป็นแนวกันชน ซึ่งถือเป็นต้นแบบแรกของกำแพงเมืองจีนในเวลาต่อมา
1.2 ราชวงศ์ฉินและการรวมกำแพงเมืองจีนเป็นหนึ่งเดียว (221-206 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
เมื่อ จักรพรรดิฉินสื่อหวง (Qin Shi Huang) หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ สามารถรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวและก่อตั้งจักรวรรดิฉินขึ้นในปี 221 ปีก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ตระหนักว่ากำแพงที่รัฐต่าง ๆ สร้างไว้ยังไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ และที่สำคัญคือยังไม่มีการเชื่อมต่อกัน จึงมีรับสั่งให้รวบรวมกำแพงของรัฐต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันและสร้างให้ต่อเนื่องเป็นแนวเดียวกัน
กำแพงในยุคฉินสร้างขึ้นจากดินอัดและไม้ซึ่งสามารถป้องกันการโจมตีจากศัตรูได้ในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากเทคนิคการก่อสร้างในสมัยนั้นยังไม่แข็งแกร่งนัก กำแพงจำนวนมากจึงพังทลายไปตามกาลเวลา
2. การพัฒนาและขยายกำแพงเมืองจีนในยุคต่าง ๆ
2.1 ราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220)
ในยุค ราชวงศ์ฮั่น จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ (Liu Bang) และจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (Han Wudi) ทรงให้ความสำคัญกับการป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าซงหนู และได้มีการขยายกำแพงออกไปทางตะวันตกเพื่อปกป้องเส้นทางสายไหม (Silk Road) ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าสำคัญที่เชื่อมต่อจีนกับโลกตะวันตก
กำแพงในยุคนี้เริ่มมีการใช้หินและอิฐเข้ามาสร้างเพิ่มเติม แต่ยังคงมีพื้นฐานจากดินอัดเป็นหลัก
2.2 ราชวงศ์สุยและถัง (ค.ศ. 581-907)
ในสมัย ราชวงศ์สุยและถัง กำแพงเมืองจีนไม่ได้รับการซ่อมแซมหรือขยายมากนัก เนื่องจากราชวงศ์ถังมีอำนาจที่แข็งแกร่งและสามารถควบคุมศัตรูทางเหนือได้ด้วยนโยบายทางทูตและการทหารที่มีประสิทธิภาพ กำแพงจึงถูกละเลยและเสื่อมโทรมไปในช่วงเวลานี้
2.3 ราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) ยุคทองของกำแพงเมืองจีน
ในยุค ราชวงศ์หมิง เป็นช่วงเวลาที่กำแพงเมืองจีนได้รับการสร้างใหม่และเสริมความแข็งแกร่งให้มากที่สุด จักรพรรดิหมิงให้ความสำคัญกับการป้องกันการรุกรานจากมองโกลและชนเผ่าอื่น ๆ จากทางเหนือ
กำแพงที่สร้างในยุคนี้ทำจากอิฐและหินแทนดินอัด มีความสูงเฉลี่ย 7-8 เมตร และกว้าง 4-5 เมตร ซึ่งแข็งแกร่งและทนทานกว่ากำแพงในยุคก่อนมาก นอกจากนี้ยังมีการสร้าง หอคอยเฝ้าระวัง ป้อมปราการ และประตูเมือง อย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน
3. โครงสร้างของกำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 21,196 กิโลเมตร และทอดยาวผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย มีองค์ประกอบหลักดังนี้:
- กำแพงหลัก: ทำจากอิฐ หิน และดินอัด มีความหนาพอให้ทหารสามารถเดินลาดตระเวนได้
- หอคอยเฝ้าระวัง: ตั้งอยู่เป็นระยะเพื่อให้ทหารมองเห็นศัตรูจากระยะไกล
- ป้อมปราการ: ใช้เป็นที่พักของทหารและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
- ประตูเมือง: ใช้ควบคุมการเดินทางและการค้าขาย
4. ความสำคัญของกำแพงเมืองจีน
- ป้องกันการรุกราน: เป็นแนวป้องกันหลักของจีนในการรับมือกับศัตรู
- ส่งเสริมการค้าขาย: ควบคุมการเดินทางของพ่อค้าตามเส้นทางสายไหม
- แสดงถึงอำนาจและเอกภาพของจีน: เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งของราชวงศ์จีน
5. กำแพงเมืองจีนในปัจจุบัน
ปัจจุบัน กำแพงเมืองจีนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย องค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1987 และเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน ส่วนที่ได้รับความนิยมได้แก่ ปาต้าหลิ่ง (Badaling), มู่เถียนยวี่ (Mutianyu), และซือหม่าไถ (Simatai)
แม้ว่าบางส่วนของกำแพงจะเสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา แต่ความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองจีนยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของชาวจีนที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน